วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย----ที่สาม

      ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย ที่สามก็คือความแตกต่างด้านรูปแบบการสอนที่ที่โรงเรียนใช้ รูปแบบการสอนเป็นรูปแบบวิธีที่ครูใช้ในการกระบวนการการสอน รูปแบบการสอนเป็นปัจจัยสำคัญมากที่สามที่ส่งผลกระทบผู้เรียนไปเรียน รูปแบบการสอนดีหรืเลวก็จะส่งผลกระทบตรงๆผลรับที่ด้านการเรียนของเยาวชนด้วย

      โรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศจีนให้ความสนใจลักษณะที่รับมือการสอบด้านการสอน การสอนหลุดพ้นความต้องการของสังคมพัฒนา จุดหมายการสอนปฏิบัติตามรับมือการสอบเรียนต่อที่โรงเรียนชั้นสูง ประเมินค่าคุณภาพของการสอน ตรวจผลการสอนและระดับการเรียนของเยาวชนตามอัตราที่อาจเป็นไปได้ที่เรียนต่อที่โรงเรียนชั้นสูงและคะแนนการสอบสูงหรือต่ำ เช่นการสอนด้านภาษาอังกฤษ การสอนที่โรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศจีนด้วยรูปแบบการสอนพุ่งไปยังการสอบ การสอนที่โรงเรียนให้ความสนใจอัตราที่อาจเป็นไปได้ที่เรียนต่อที่โรงเรียนชั้นสูงและคะแนนการสอบแค่นี้ การใช้สอยน้อยมาก ก่อให้เกิดเยาวชนจีนส่วนใหญ่สอบได้ แต่เชื่อมสัมพันธ์ด้วยภาษาอังกฤษกับสังคมภายนอกไม่ค่อยได้
    โรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศไทยให้ความสนใจลักษณะที่ประโยชน์ในการใช้สอยของการสอน การสอนตามความต้องการของสังคมพัฒนา แล้วการสอนไม่ใช่เพื่อรับมือการสอบแค่นี้ โรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศไทยประเมินค่าคุณภาพของการสอน ตรวจผลการสอนและระดับการเรียนของเยาวชนไม่เพียงแต่ตามอัตราที่อาจเป็นไปได้ที่เรียนต่อที่โรงเรียนชั้นสูงและคะแนนการสอบสูงหรือต่ำ รายการที่ตรวจยังรวมด้านความรู้ใช้สอย เช่น การสอนด้านภาษาอังกฤษ โรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศไทยให้ความสนใจลักษณะที่ประโยชน์ในการใช้สอยของการสอน ไม่ใช่รับมือการสอบแค่นี้ ทั้งเลียกร้องเยาวชนไทยต้องการสอบได้และเชื่อมสัมพันธ์ใช้ภาษาอังกฤษกับสังคมภายนอกได้ด้วย จึงเยาวชนไทยส่วนใหญ่ทั้งสอบได้และเชื่อมสัมพันธ์ใช้ภาษาอังกฤษกับสังคมภายนอกได้ด้วย

ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย----ที่สอง

     ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย ที่สองก็คือความแตกต่างด้านความจุดหมายการเรียน๒ประเทส ความจุดหมายการเรียนหมายความว่าการเรียนเพื่ออะไร ความจุดหมายการเรียนเป็นทิศทางที่ผู้เรียนพยายามเรียน ความจุดหมายการเรียนเป็นปัจจัยสำคัญมากอีกหนึ่งที่ส่งผลกระทบด้านการเรียนของผู้เรียน ความจุดหมายการเรียนชัดแจ้งและแน่นอนหรือเปล่าจะส่งผลกระทบตรงๆผลรับที่ด้านการเรียนของเยาวชน

    เยาวชนจีนส่วนใหญ่ก็มีความจุดหมายการเรียนเป็นของตัวเอง ความจุดหมายการเรียนทั้งมีความจุดหมายเล็กๆและมีความจุดหมายใหญ่ ทั้งมีความจุดหมายระยะใกล้ๆและมีความจุดหมายระยะไกล ความจุดหมายการเรียนเล็กๆและระยะใกล้ๆ เช่น ทอ่งคำศัพท์๓๐คำทุ่กวัน เดือนนี้จะทบทวนความรู้ที่เคยเรียนในเทอมนี้๑ครั้งหรือการสอบปลายเทอมตอ้งสอบได้ที่หนึ่งเป็นต้น ความจุดหมายใหญ่และระยะไกล เช่น บางคนเรียนเพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น บางคนเรียนเพื่อรับใช้เพื่อตอบแทนบุญคุณประเทศ บางคนเรียนเพื่อวันหลังจะคลายเป็นนักประดิษฐ์ ประดิษฐ์สิ่งของดีๆได้อุทิศมนุษยชาติและสังคม สรุปแล้ว ไม่ว่าความจุดหมายเล็กๆหรือความจุดหมายใหญ่ ความจุดหมายระยะใกล้ๆหรือความจุดหมายระยะไกล เยาวชนจีนส่วนใหญ่ก็มีความจุดหมายการเรียนเป็นของตัวเอง พวกเขาจะสร้างความจุดหมายการเรียนของตัวเองก่อน หลังมีความจุดหมายการเรียนอันชัดแจ้งและแน่นอนจะพยายามเรียนไปยังความจุดหมายการเรียนที่สร้างตัวเอง
    แต่เยาวชนไทยส่วนใหญ่ไม่มีความจุดหมายการเรียนเป็นของตัวเอง พวกเขาก็ไม่รู้ทำไมต้องไปเรียน เรียนเพื่ออะไร เพียงแต่เรียนตามมหาชนอย่างหลับหูหลับตา เหมือนเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง

ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย----ที่หนึ่ง

     ฉันมีเพื่อนหลายคนเป็นครูสอนภาษาจีนที่ประเทศไทย   เพื่อนเหล่านี้ทุกท่านก็พูดว่าเยาวชนจีนกับเยาวชนไทยมีความแตกต่างด้านการเรียน
    ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย สรุปได้ว่ามี๓ด้าน ที่หนึ่งคือความแตกต่างด้านท่าทีการเรียน

     ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย ที่หนึ่งก็คือความแตกต่างด้านท่าทีการเรียนของเยาวชน๒ประเทส งั้นท่าทีการเรียนคืออะไร ท่าทีการเรียนหมายความว่าท่าทีที่ผู้เรียนปฏิบัติต่อแสดงต่อด้านการเรียนและท่าทีที่กระบวนการการเรียน ท่าทีการเรียนเป็นปัจจัยสำคัญมากที่ส่งผลกระทบด้านการเรียนของผู้เรียน ท่าทีการเรียนดีหรือเลวจะส่งผลกระทบตรงๆผลรับที่ด้านการเรียนของเยาวชน
    ท่าทีการเรียนของเยาวชนจีนส่วนใหญ่เป็นกระตือรือร้น เชิงรุกและอย่างจริงจัง เช่น เวลาที่ห้องบรรยายขณะที่ใช้บรรยายอยู่ ไม่ว่าความรู้ที่ครูจะสอนให้เป็นความรู้อันเยาวชนสนใจเหรือเปล่า หรือว่าครูจะสอนได้สนุกสนานหรือเปล่า เยาวชนจีนส่วนใหญ่ก็จะไปฟังไปเรียนและบันทึกที่บันทึกในขณะที่ฟังคำบรรยายอย่างตั้งใจ จริงจิง เวลาที่เลิกเรียนแล้ว เยาวชนจีนส่วนใหญ่ไปทำการบ้าน ทบทวนความรู้ที่เคยเรียนและ เตรียมการเรียนล่วงหน้าความรู้ที่จะเรียนอย่างรู้สึกตัวและจริงจัง ไม่ต้องการใครๆมาควบคุมและเร่งรัด เวลาที่พบประสบความยากลำบาทเมื่อเรียนอยู่ เยาวชนจีนส่วนใหญ่พิชิตความยากลำบากอย่างริเริ่มกระทำเอง แก้ไขปัญหาจนสำเร็จ
     แต่ท่าทีการเรียนของเยาวชนไทยส่วนใหญ่เป็นผ่ายถูกกระทำ หมดอาลัยตายอยากและสะเพร่า ตรงกันข้ามกับเยาวชนจีน เช่นเวลาที่ห้องบรรยายขณะที่ใช้บรรยายอยู่ ถ้าหากความรู้ที่ครูจะสอนให้เป็นความรู้อันเยาวชนไม่สนใจหรือว่าครูสอนได้ไม่สนุกสนาน เยาวชนไทยส่วนใหญ่ก็จะอยู่เฉยๆฟังเฉยๆ แม้กระทั่งยังมีเยาวชนส่วนน้อยคุยกันเสียงดังอยู่ในห้องเรียน เวลาที่เลิกเรียนแล้ว เยาวชนไทยส่วนใหญ่ต้องการมีคนไปควบคุมและเร่งรัดค่อยไปทำการบ้าน ทบทวนความรู้ที่เคยเรียนและ เตรียมการเรียนล่วงหน้าความรู้ที่จะเรียน ถ้าไม่มีคนไปควบคุมและเร่งรัด เยาวชนไทยส่วนใหญ่จะไปเรียนอย่างรู้สึกตัวและจริงจังไม่ได้ เวลาที่พบประสบความยากลำบาทเมื่อเรียนอยู่ เยาวชนไทยส่วนใหญ่จะด้วยท่าทีหลบหนีหรือไม่พอใจ ไม่ได้ไปพิชิตความยากลำบากและค้นหาวิทีการที่แก้ไขปัญหาอย่างริเริ่มกระทำเอง 

การเรียนมีความสำคัญมากมายต่อมนุษย์ โดยเฉพาะเยาวชน

          การเรียนมีความสำคัญมากมายต่อมนุษย์    เพราะว่าการเรียรจะทำให้มนุษย์ได้ประสบความรู้หลากหลายชนิด   เช่นความรู้ด้านวิทยาศาสตร์   ธรราชาติ  ชีววิทยา  วิชาเคมี และภาษาฯลฯ    ไม่ว่าความรู้ด้านไหน   ทั้งหมดก็มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นกับชีวิดความเป็นอยู่ของมนุษย์   มนุษย์ได้ประสบความรู้แล้ว    จะได้พลิกแพลงใช้ความรู้ไปพัฒนาสติปัญญา   ปลูกฝังความสามารถและทำให้มนุษย์ก้าวหน้าขึ้น   ได้ไปสร้างทรัพยากรหรือได้ไปทำเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตัวเอง   ครอบครัว  ประเทศและสังคมเป็นต้น   การเรียนมีความสำคัญมากมายต่อมนุษย์   ชีวิดความเป็นอยู่ของมนุษย์ขาดการเรียนไม่ได้   ถ้าหากไม่ไปเรียน  ก็จะไม่ได้ประสบความรู้ใหม่   ขาดความรู้จะมีความหมายที่แสดงว่าความเขลา   ความยากจน     ทั้งจะพัฒนาสติปัญญา   ปลูกฝังความสามารถและทำให้มนุษย์ก้าวหน้าขึ้นไม่ได้   และจะสร้างทรัพยากรหรือได้ไปทำเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตัวเอง   ครอบครัว  ประเทศและสังคมเป็นต้นไม่ได้   จึงการเรียนมีความสำคัญมากมายต่อมนุษย์   โดยเฉพาะเยาวชน   เพราะว่ายุกเยาวชนเป็นยุคทองที่มนุษย์เรียนความรู้และได้ประสบความรู้   

เรื่องนี้ส้มสีม่วงมีอิทธิพลต่อฉัน

อ่านเรื่องนี้ส้มสีม่วงจบแล้วมีอิทธิพลต่อฉัน    ก็คือ
๑.เรื่องนี้ทำให้ฉันตระหนักในคุณค่าของจินตนาการความฝัน
เรื่องนี้ทำให้ฉันตระหนักในคุณค่าของจินตนาการความฝันว่า หากไม่มีจินตนาการและความฝันแล้ว ชีวิตมนุษย์จะแห้งแล้งหยาบกระด้าง ไม่มีสี ไม่มีจุดหมาย ไม่มีอารมณ์และไม่มีสุขเพียงใด ความฝันเป็นปัจใจสำคัญในการสร้างโลก สร้างชีวิด ดังนั้นหากเราทิ้งความฝัน ไร้ความฝันหรือฝันไม่ได้อีกแล้ว ก็นับว่าเป็นหายนะแห่งโลกและมนุษย์ชาติโดยแท้ทีเดียว หากชีวิดไม่มีจิตนาการ โลกไม่มีความฝัน เหลือแต่ความจริงที่แห้งแล้งแข็งกระด้าง โลกจะไม่มีความสุข ความสำเร็จของมนุษย์เกิดขึ้นจากมนุษย์มีความฝันและใช้สติปัญญาเปลี่ยนความฝันกลายเป็นความจริง
๒.เตือนฉันควรขจัดนิสัยแย่ๆทิ้งไป
นิสัยแย่ๆเช่นขี้เกียจ ช่างมันเถอะ อย่าเสี่ยง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ผัดวันประกันพรุ่ง หงุดหงิด งุ่นง่าน เสียดสี แดกดัน ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ เยาะหยัน ถากถาง โกหกพกลม เกลียดผักเป็นต้น เตือนฉันอ้อมนิสัยแย่ๆ ควรขจัดนิสัยแย่ๆทิ้งไป เพราะว่านิสัยแย่ๆเช่นโกหกพกลมจะก่อให้เกิดไม่มีใครๆจะเชื่อคุณต่อไป เช่นผัดวันประกันพรุ่งจะก่อให้เกิดอะไรก็ไม่ได้ไปทำและอะไรก็ทำไม่เสร็จ เพราะว่าเรื่องวันนี้ผัดวันประกันพรุ่งไปทำ แล้วพรุ่งนี้จะผันประกันมะรืนวันไปทำ สุดท้ายอะไรก็ไม่ได้ไปทำและอะไรก็ทำไม่เสร็จ
๓.ทำให้ฉันรู้ว่าวรรณกรรมดีๆจะช่วยให้จินตนาการและความฝันเกิดได้
วรรณกรรมดีๆจะช่วยให้จินตนาการและความฝันเกิดได้ เปิดความสว่างทางสติปัญญาจินตนาการและความฝันเรา โดยเฉพาะวรรณกรรมเด็กๆและเยาวชน ไม่เพียงแต่เด็กๆ พวกผู้ใหญ่ก็ต้องอ่านวรรณกรรมดีๆมากขึ้น เพราะว่าเมื่อจากเด็กๆเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิตมากขึ้น จินตนาการและความฝันก็ลดน้อยถอยลงไป ทำไห้ชีวิดแห้งแล้งแข็งกระด้าง จึงก็ต้องอ่านวรรณกรรมดีๆมากขึ้น เพราะว่าวรรณกรรมดีๆจะช่วยให้จินตนาการและความฝันเกิดได้
๔.ทำให้ฉันรู้ว่าพวกผู้ใหญ่ไม่ควรไปจำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆ
เด็กๆมีความฝันและจินตนาการมหาศาล และมันเป็นความฝันและจินตนาการไม่มีขอบเขต พวกผู้ใหญ่ไม่ควรไปจำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆ จำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆตามอย่างผู้ใหญ่จำกัด มิฉะนั้น เด็กๆจะไม่กล้าคิดกล้าฝันหรือว่าจะฝันและจินตนาการในกรอบ แผ่ออกไปกว้างไกลไม่ใด้ จึงพวกผู้ใหญ่ไม่ควรไปจำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆ ให้เด็กๆกล้าคิดกล้าฝัน มีความฝันมาหาศาลอันไม่มีกรอบและจินตนาการไม่มีขอบเขต จะฝันและจินตนาการแผ่ออกไปกว้างไกล

ความคิดสำคัญของเรื่องนี้ส้มสีม่วง

      ความคิดสำคัญเรื่องนี้ส้มสีม่วงก็คือจินตนาการไม่ควรมีขอบเขตจำกัด  ขอบเขตและกรอบเป็นสิ่งที่ขัดขวางจินตนาการของเราไม่ให้แผ่ออกไปกว้างไกล  หากเราลองปลดเปลื้องขอบเขตและกรอบเหล่านี้ออกไป  กล้าคิด  กล้าฝัน  กล้าแตกต่าง   เราก็จะมีจินตนาการที่กว้างไกลมากยิ่งขึ้น   คิดอะไรก็ได้มากมายกว่าเคย   ลึกซึ้งกว่าเคย

ส้มสีม่วง

        ฉันใช้เวลาประมาณ๓อาทิตย์ไปอ่านนวนิยายชื่อส้มสีม่วง   ฉันชอบเรื่องนี้มากมาย   เพราะเรื่องนี้มีคุณค่าสั่งสอน   จึงฉันอยากจะแนะนำเรื่องนี้ให้ผู้เชียวชาณ   ฉันมั่นใจถ้าพวกคุณอ่านแล้วก็ชอบเรื่องนี้มากดังต่อไปนี้คือย่อเรื่องส้มสีม่วงที่แต่งโดยฉัน
         เรื่องเริ่มจากจ้อยเป็นเด็กชายอายุยังไม่เต็ม๑๐ขวบดี อยู่ป.๔และกำลังจะขึ้นเทอม๒ในเปิดเทอมหน้านี้แล้ว จ้อยชอบอ่านหนังสือที่แต่งโดยลุงเทิดมากมาย ลุงเทิดเป็นคนที่เขียนหนังสือแสนสนุกที่จ้อยติดใจนักหนา ที่นักเขียนคนโปรดของจ้อย ปิดเทอมนี้จ้อยจะใช้เวลาหมดไปอ่านหนังสือที่แต่งโดยลุงเทิดชื่อ “กองทัพปราบฝัน” และการย้ายบ้านใหม่ ย้ายไปถึงบ้านใหม่ จ้อยรู้ว่าเพื่อนบ้านคนใหม่ของเขาไม่ใช่ใครอื่นๆเลยแต่เป็นตัวลุงเทิดนั่นเองจากพี้สาว จ้อยตื่นเต้นมาก
        ในวันหนึ่งจ้อยเดินสำรวจสนามหญ้าของบ้านใหม่ ได้เก็บเศษกระดาษทั้ง๑๒ชิ้น เรียงต่อเข้าด้วยกันเป็นแผ่นใหญ่ อ่านแล้วและคิดว่าเศษกระดาษทั้ง๑๒ชิ้นเป็นต้นฉบับหนังสือของลุงเทิด จ้อยรู้ว่าต้นฉบับหนังสือมีความสำคัญต่อลุงเทิด จึงตัดสินใจที่จะนำต้นฉบับนี้ไปส่งคืนลุงเทิด
        เมื่อได้เอาต้นฉบับส่งคืนลุงเทิด จ้อยดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะใกล้ถึงกำหนดเวลาส่งคืนต้นฉบับแล้ว นอกจากนี้ลุงเทิดยังเล่าให้จ้อยฟังอีกว่าเขาถูกกลั่นแกล้งต่างๆนานารวมถึงการที่ต้นฉบับหายไปในครั้งนี้ด้วย นี่ทั้งหมดเป็นฝีมือของนักทัพปราบฝันที่ไม่ต้องการให้ลุงเทิดเขียนหนังสือเรื่องใหม่เปิดโปงอาณาจักรลึกลับของพวกเขาและไม่ให้ลุงเทิดเขียนหนังสือที่ทำให้เด็กๆมีความฝัน มีความคิด มีจินตนาการ เพราะเหล่ากองทัพปราบฝันจะไปปลอกลอกเอาความฝันของเด็กๆทำให้เด็กๆเลิกคิด เลิกฝัน เมื่อเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้จินตนาการอยู่แต่ในกรอบที่สร้างขึ้นมา ไร้ความคิดสร้างสรรค์ ทึบทื่อ น่าเบื่อหน่าย การคิดนอกกรอบเสียบ้างจะทำให้เราค้นพบสิ่งใหม่ๆมากขึ้น ไม่เหยียบย่ำจำเจอยู่กับสิ่งเดิมๆ จนกลายเป็นการปิดกั้นตนเอง จิตใจแข็งกระด้าง และไม่ก่อให้เกิดพัฒนาการทางความคิด
       เหล่ากองทัพปราบฝันในหนังสือของลุงเทิดมีตัวตนอยู่จริง เป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆประกอบไปด้วย
       - นายพล "ขี้เกียจคิด ขี้เกียจฝัน " ซึ่งทั่วร่างปกคลุมไปด้วยขนที่เกิดจากความขี้เกียจนั่นเอง ความร้ายกาจของเขาก็คือ ความขี้เกียจที่เขาชอบปล่อยฤทธิ์ร้ายให้แพ่ซ่านอยู่ในเนื้อตัวผู้คนจนไม่อยากจะคิดฝันถึงสิ่งใด
       - นายช่างใหญ่ "ช่างมันเถอะ " มีรูปร่างเป็นมันฝรั่งสวมใส่ชุดช่าง ในมือถือไขควงตลอดเวลา ช่างมันเถอะชอบทำไขควงตก แต่ไม่เก็บ มักเอาแต่พูดว่า "ช่างมันเถอะ" และ "ไม่เป็นไร"
      - ผู้อาวุโส "อย่าเสี่ยง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง " เป็นรูปสี่เหลี่ยมทึบตัน ไม่ยอมขยับไปไหนเพราะกลัวการเสี่ยง กลัวการเปลี่ยนแปลงทุกชนิด
      - "ผัดวันประกันพรุ่ง" มีรูปร่างเป็นทรงกลม เพื่อพร้อมที่จะกลิ้งไปสู่วันพรุ่งนี้ ในมือถือตะหลิวตลอดเวลา เพื่อเตือนว่าคำว่า "ผัดวันประกันพรุ่ง " สะกดว่า "ผัด " ไม่ใช่ "ผลัด "
      นอกจากนี้เหล่ากองทัพปราบฝันยังประกอบไปด้วย "หงุดหงิด งุ่นง่าน " "เสียดสี แดกดัน " " ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ " " เยาะหยัน ถากถาง " "โกหกพกลม " "เกลียดผัก " "ไม่มีทางเลือก" ฯลฯ
       เหล่ากองทัพปราบฝันจะปอกลอกเอาฝันของคนอื่นๆ เพราะว่ายิ่งปราบฝันได้มากเท่าไร อาณาจักรของเหล่ากองทัพปราบฝันก็จะยืดยาวออกไปมากขึ้น พุ่งทะยานออกไปอย่างสง่างาม และเป็นบ้านเกิดเมืองนอน แดนดินถิ่นอาศัยให้พวกเขาเพาะลูกออกหลานได้มากขึ้น หล่ากองทัพปราบฝันอยู่ได้เพราะปอกลอกเอาฝันของคนอื่นๆมาต่อเติมอาณาจักรของพวกเขา เหลือทิ้งไว้ให้คนเหล่านั้นเพียงความจริงเล็กๆน้อยๆ นิดๆหน่อยๆ หนำซ้ำยังเป็นความจริงที่แห้ง แข็งกระด้าง และกลิ่นไม่ดี "แก้ม " เป็นเพื่อนใหม่ของจ้อยที่เป็นแฟนหนังสือของลุงเทิดเช่นกัน เป็นเด็กหญิงตัวเท่ากับจ้อยนี่เอง เคยเจอกันอยู่ในร้านหนังสือ จ้อยตัดสินใจร่วมมือกับ "แก้ม "ป้องกันไม่ให้เหล่ากองทัพปราบฝันมาขัดขวางการเขียนหนังสือของลุงเทิดได้
       จ้อยรู้ว่าอาณาจักรของเหล่ากองทัพปราบฝันคือ "อาณาจักรก้านส้มเขียวหวาน " จากเบิกความสว่างทางสติปัญญาที่ส้มหลากหลาย
        จนในที่สุดจ้อยและแก้มก็ได้เผชิญหน้ากับเหล่ากองทัพปราบฝัน จ้อยได้ทำข้อตกลงกับเหล่ากองทัพปราบฝันโดยกองทัพปราบฝันจะต้องเลิกขัดขวางการเขียนหนังสือของลุงเทิดเพื่อแลกกับการที่จ้อยจะไม่เปิดเผยความจริงที่ว่า อาณาจักรของเหล่ากองทัพปราบฝัน คือ "อาณาจักรก้านส้มเขียวหวาน " เหล่ากองทัพปราบฝันกลัวว่าถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปทุกคนจะรู้ว่าแท้จริงแล้วโลกไม่ได้กลมและป่องตรงกลางเหมือนผลส้มเท่านั้น แต่ยังมีก้านส้มซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกเขาอีกด้วย จึงยอมรับข้อเสนอดังกล่าว ทำให้ลุงเทิดสามารถเขียนหนังสือที่กระตุ้นให้เด็กๆเกิดความคิด เกิดจินตนาการต่อไปได้ ลุงเทิด จ้อยและแก้ม จึงผนึกกำลังร่วมกันต่อสู้กับกองทัพปราบฝันจนเอาชนะได้ในที่สุด
      

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสั้น


 การบันทึกเสียงที่มหาวิทยาลัยบูรพา

วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553 นักศึกษาจีนที่เรียนวิชาคือการสื่อสารภาษาไทยเป้นภาษาที่สองที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกีรยติทั้ง22คนและอาจารย์นริศรา เกตวัลห์ได้รับเชินชวนจากรองศาสตราจารย์ ดร.มนตรี แย้มกสิกรไปถ่ายวีดีโอที่สถานีโทรทัศน์ครูมหาวิทยาลัยบูรพา
นักศึกษาทุกๆคนทั้งตื่นเต้นและดีใจ  รู้สึกตื่นเต้นเพราะพวกเราไม่เคยบันทึกเสียงตามกฎเกณฑ์เหมือนครั้งนี้  ดีใจเพราะมีโอกาสบันทึกเสียงที่มหาวิทยาลัยบูรพา   เราได้ความรู้มากมายเกี่ยวกับภาษาไทยกับเทคโนยีการสื่อสารจากการบันทึกเสียงครั้งนี้ที่มหาวิทยาลัยบูรพา  
ขอคุณอาจารย์นริศรา เกตวัลห์และรองศาสตราจารย์ ดร.มนตรีสำหรับการบันทึกเสียงครั้งนี้ที่มหาวิทยาลัยบูรพา

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความคิดเห็นต่อการผสมผสานคำนี้

การผสมผสานหมายความว่าเก็บเล็กผสมน้อย  เก็บรวบรวมไว้ที่ละเล็กละน้อย  ฉันคิดว่าการผสมผสานเป็นความเคยชินดีมาก  ฉันรู้สึกว่าใครๆก็ต้ิิองเข้าใจความหมายของการผสมผสานคำนี้  ควรอบรมเลี้ยงดูและมีพล้อมความเคยชินอย่างแบบนี้ด้วย  เพราะว่าไม่ว่าพวกเราจะทำเรื่องอะไร  ถึงแม้เป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องยาก  ถ้าเรายอมไม่ขาดสายขยัน  ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ  แม่ว่าทุกครั้งทำได้เพียงเล็กๆน้อยๆ  แต่ทำต่อไปอย่างนิรันดร  ประสมประสาน  เราจะมีโอกาสได้ผลสำเร็จ  แต่พวกเราบางทีไม่ยอมสนใจและไปทำเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ยืนหยัดต่อไปด้วยจิดใจแน่วแน่  มากจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นแต่เล็กๆน้อยๆ  ไม่ไปสนใจและไม่ไปทำก็ไม่เป็นไรหรอก   แต่หากเราเผอเรอเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้   วันนี้ไม่สนใจไม่ไปทำ  พรุ้งนี้  วันมะรืนนี้ก็ไม่ไปสนใจและไม่ไปทำเรืีองเล็กๆน้อยๆ   เราจะไม่มีวันสำเร็จตรอดเวลา   จึงเราต้องไปอบรมเลี้ยงดูและมีพร้อมความเคยชินการผสมผสานด้วย

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องย่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ท้าฟ้าลิขิต

ผู้หญิงชื่อว่านกับผู้ชายชื่อเจี้ยบเป็นคู่รักคู่หนึ่งที่รักใคร่ซึ่งกันและกันมาก  แต่มีวันหนึ่ง  ว่านกับเจี้ยบไปอิธิษฐานที่วัด  เมื่อพวกเขาไหว้เจ้าเสร็จ   อยู่ระหว่างทางที่จะไปดูหนังจากไปวัด   ว่านเจอหมาตัวเล็กๆที่ที่หน้าตาดีและชอบหมาตัวนั้นมากๆ   อยากพากลับเลี้ยงที่บ้านด้วย  แต่เธอถูรถชนแล้วเมื่อเธอไปอุ้มหมาตัวนั้น  เจี้ยบกับคนขับรถรีบพาว่านไปชว่วยเหรืออย่างรีบด่วนในยามอันตรายที่โรงพยาบาลใกล้เคียง  หมอพูดว่าอาการของว่านหนักมาก   โอกาสรอดมีไม่ถึง๒๐%   ทำให้เจี้ยบไปกราบไหว้พระที่วัดเพื่อขอพรจากพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ว่านได้มีชีวิตรอด   บังเอิงพบกับพระสงฆ์ลึกลับรูปหนึ่ง    พระสงฆ์ลึกลับบอกให้เจี้ยบว่า ว่านต้องตายเพราะว่านเคยสังหาร๕คนในชาติก่อนเป็นเหตุให้ในชาตินี้ต้องเสียชีวิต  ถ้าเจี้ยบอยากทำให้ว่านรอดได้  ต้องไปช่วยชีวิต๕คน 
คนแรกที่เจี้ยบต้องไปช่วยเป็นนายตำรวจ  นายตำรวจคนนี้นำเงินที่ยักยอกเงินหลวงไปพนันม้าจนเสียหมดตัวแล้วก็ยิงตัวตาย  ซึ่งเจี้ยบต้องไปห้ามไม่ให้นายตำรวจไปพนันม้า  สุดท้ายซ้อมสะบักสะบอมค่อยช่วยได้  คนถัดไปเป็นเด็กหนุ่มที่จะกระโดดตึกฆ่าตัวตายเพราะสอบไม่ผ่าน  ถัดไปคือเด็กผู้หญิงจะกระโดดให้รถไฟทับคอขาด  เพราะว่าแฟนหนุ่มทิ้งไป  ถัดไปเป็นเจี้ยบไปช่วยตำรวจที่จะโดนผู้รายที่ปล้อนสะดมร้านยิงตาย  สุดท้ายเป็นเด็กนักเรียนจะต้องถูกรถชนตาย  เจี้ยบเพราะว่าช่วยไม่ทัน  แล้วทำให้ว่านก็ตาย  เจี้ยบเสียใจมากแล้วก็ไปวัดแห่งหนึ่งอีกครั้งและว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดที่ไม่มีพระเจ้า  แล้วเดินออกมาหน้าวัดอย่างงุนงงและสิ้นหวัง  ได้พบกับหญิงชราขอทานที่ครั้งหน้าว่านกับเจี้ยบเดินทางไปอิธิษฐานที่หน้าวัด  เจี้ยบให้เงิน๒๐บาททำทาน  เจี้ยบควักเหรียญออกจากกระเป๋ากางเกงให้ไป  ทันใดนั้นเหตุการณ์ได้ย้อนกลับไประหว่างที่เจี้ยบกำลังวิ่งไปช่วยเด็กนักเรียนที่กำลังจะถูกรถชน  สุดท้ายเจี้ยบสามารถช่วยเด็กนักเรียนรอดตายได้   แล้วก็ทำให้ว่านมีชีวิตรอดด้วย

ท้าฟ้าลิขิต

บ่ายนี้อาจารย์พัชรินทร์ให้เราดูหนังท้าฟ้าลิขิตและต้องวิเคราะห์ภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย   ฉันชอบภาพยนตร์เรื่องนี้มากๆ   รู้สึกว่าได้ความรู้มากๆจากภาพยนตร์ท้าฟ้าลิขิตเรื่องนี้   ฉันได้ความรู้จากภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเชื่อที่ปรากฎในเรื่อง  ปัญหาสังคมไทยที่ปรากฎในเรื่อง  การดำเนินชีวีตของคนไทยที่ปรากฎในเรื่องเป็นต้น  ฉันรู้สึกว่าภาพยนตร์ท้าฟ้าลิขิตเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่เราควรไปดูเพราว่าทำให้เกิดอารมณ์ซาบซึ้ง

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประเทศผลไม้


ประเทศไทยคือประเทศที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว   ที่ดินของประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มาก    ไม่เพียงแต่ปลูกออกข้าวหอมหวานและผักสดได้   ยิ่งปลูกผลไม้ที่ชนิดมากมายได้    เช่นมีกล้วย  เงาะ   ขนุน    ชมพู   แตงโม   มะม่วง   ฝรั่ง    มะละกอ   มะเพร้าว   ลำไย   ทุเรียน   มังคุดเป็นต้น   ในสามรฤดูทั้งปี    ไม่ว่ารฤดูร้อน   รฤดูฝนหรือรฤดูหนาว   ผลไม้ก็ไม่เคยขาดอยู่ที่ประเทศไทย
ผลไม้ทุกชนิดก็อร่อย   โดยเฉพาะทุเรียน   มีชื่อเสียงมากอยู่ในโลกเพราะรดชาติอร่อย    ถูกเรียกว่าเป็นพระจักรพรรดิในผลไม้     เวลาที่ออกสู่ตลาดของทุกเรียนคือพฤษภาคมถึงสิงหาคมทุกปี     ราคาเวลานั้นไม่ค่อยแพงและรสชาติทุเรียนเวลานั้นอร่อยที่สุด    คนส่วนใหญ่ก็ชอบกิน   แต่มีคนส่วนน้อยกินไม่ไหว  คนที่ชอบกินรู้สึกรดชาติทุเรียนอร่อยมาก  คนที่ไม่ชอบกินรู้สึกกลิ่นทุเรียนเหม็นมากจริงๆและเข้าใจไม่ได้ทำไมมีคนชอบกินทุเรียนไม่ได้   แม้ว่ารดชาติทุเรียนอร่อย   แต่กินแยอะจะร้อนใน   จึงปกติกินทุกเรียนต้องกินมังคุดด้วย   เพราะว่ามังคุดแก้ร้อนในได้   มิน่าเห็นเขาซื้อทุเรียนทุกทีมักจะซื้อมังคุดด้วย
สรูปแล้ว   ทั้งหมดผลไม้เป็นของเขตร้อน     ประเทศไทยก็มี   จึงประเทศไทยยังมีชือเสียงอันดีงามคือประเทศผลไม้   ท้าคุญเคยไปเที่ยวที่ประเทศไทยและชิมผลไม้ไทยแล้ว   คุญจะลืมประเทศไทยไม่ได้แน่ๆ

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สภาพอากาศอุณหภูมิสูง

หลังแอดเวนต์ของครีษมายัน    ประเทศจีนจะเข้าระยะเวลาที่สภาพอากาศอุณหภูมิสูง     เดือนนี้จะร้อนมาก    อุณหภูมิของเมืองส่วนใหญ่ประมาณเป็น๓๕ถึง๓๗องศา   อุณหภูมิสูงที่สุดของภูมิภาคส่วนหนึ่งจะเป็นสี่สิบองศาขึ้น    ร้อนมา    ก    ร้อนหมือนประเทศไืทย     ไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวกและโลคลมแดดง่ายมากที่เพราะว่าอากาศร้อนมาก    ไม่ว่าไปไหนผู้คนต้องการพาร่มด้วย   
แต่ชาวจีนมีหลายวีทีการแก้ร้อน    เช่นไปว่ายน้ำที่ทะเลหรือคลอง   ไปเที่ยวที่สถานที่ตอกอากาศ    ไปซื้อของที่วงการค้ามีเครื่องปรับอากาศเป็นต้น    คนที่ไปว่ายน้ำที่ทะเลหรือคลองมากที่สุด    เพราะว่าทั้งออกกำลังกายได้และตอกอากาศได้     สบายมากๆ

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำไมคนไทยกินน้อยแต่ไม่หิว

มาประเทศไทยจะ๒ปีแล้ว คนไทยกินไม่เยอะ น้อยมาก นี่คือประกฎการที่เมื่อฉันผึ่งมาประเทศไทยค้นพบ คนไทยสวนใหญ่กินน้อย ฉันคิดมาก แต่ยังคิดไม่ออกทำไม สูงหนักร่างกายของคนไทยเหมือนคนจีน แต่ทำไมคนจีนต้องการกินมากก่วาคนไทย อยู่ประเทศจีนฉันรู้สึกว่าเรากินไม่มากแค่ไหน แต่มาถึงประเทศไทย ฉันรู้สึกว่าเรากินมากก่วาคนไทย แต่ละครั้งที่ฉันไปสั่งอาหาร ฉันต้องการสั่ง๒จาน ถ้ากินแต่จานเดียวฉันจะรู้สึกไม่อิ่ม แร้วฉันอยากรู้มากทำไมคนไทยกินน้อยก็ไม่รู้สึกหิว อยากรู้มากจริงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คำเรียก

คำเรียกคือสลับซับซ้อนมากอยู่ประเทศจีน แยกประเภทต้องการตามอายุ เพศฐานะและประเพณีเป็นต้น โดยเฉพาะคำเรียกระหว่างญาติ แยกประเภทที่ละเอียดมาก อยู่ชีวิตประจำวัน ถ้าเรียกผิด ไม่เพียงแต่ฝ่ายตรงกันข้ามไม่ดีใจ ทำให้เกิดอารมณ์ที่ไม่พอใจมากขึ้นและปรากฎผิดผลาด จึงเมื่อเรียกคนแปลกหน้าต้องการระมาดระวัง แต่เป็นเพื่อนสนิทก็ไม่เป็นไร คำเรียกคือสลับซับซ้อนมากอยู่ประเทศจีน เเต่อยู่ประเทศไทยง่ายมากและสะดวกสบาย คนไทยชอบเรียกซึ่งกันและกันใช้พี่น้อง ถ้าเจอคนโตก่วาก็เรียกว่าพี่ก็ได้ เจอคนเล็กก่วาก็เรียกว่าน้องก็ได้ ไม่ต้องใช้เวลาไปคิดมาก สะดวกสบายมากจริงๆ

รถติดมากๆ

เมื่อฉันยังไม่ได้มาเรียนที่ประเทศไทย ฉันก็เคยได้ยินประเทศไทยรถติดมาก รถติดไม่ธรรมดา เเต่ก่อนฉันยังคิดอยู่ในใจว่าประเทศไทยจะรถติดไม่ธรรมดาเเค่ไหนล่ะ เเต่หลังพอฉันมาถึงประเทศไทย ฉันก็ไมีคิดอย่างนี้เเล้ว ประเทศไทยรถติดมาก รถติดไม่ธรรมดาจริงๆ ระยะทางปกติประมาณใช้เวลาสามสิบนาที ถ้าพอเจอรถติดอย่างน้อยตอ้งการใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง อาจจะยิ่งนาน เเละเวลาของไฟเเดงนานมาก ฉันเคยเห็นนานที่สุดประมาณร้องห้าสิบวินาที อยู่เมืองจีนฉันไม่เคยเห็น พอฉันเห็นครั้งเเรกอยู่ประเทศไทย ฉันรู้สึกมหัศจรรย์มาก จึงฉันปกติชอบนั่งรถไฟฟ้าหรือรถไฟได้ดินไปเที่ยวข้างนอก เพราะว่ารถไฟฟ้าและรถไฟได้ดินไม่รถติดและราคาไม่แพงเกินไป สะดวกสะบายมาก แต่อุบัติเหตุทางรถยนต์หรือรถไฟอยู่ประเทศไทยน้อยมาก ฉันรู้สึกข้างนี้ประเทศไทยเก่งมาก

ฟุตบอลโลก

วันที่สิบเอดมิถุนายนถึงวันที่สิบสองกรกฎาคมคือเวลาที่เเข่งขันฟุตบอลโลก ทั้งหมดแข่งขังจะใช้เวลา๑เดือน ถึงเวลานั้นจะมีทีมฟุตบอล๓๒กล่อมเข้าร่วมเเข่งขันมาจากแต่ละท้องถิ่งโลก รวมดำเนินการเเข่งขัน๖๔ครั้งตัดสินทีมแชมเีปี้ยน ฟุตบอลครั้งนี้จะจัดอยู่สนามบอลสิบแห่งเมือง๙เมืองของประเทศแอฟริกาใต้ ประเทศจีนมีคนเยอะชอบดูเเข่งขันฟุตบอล มีผู้ชาย มีผู้หญิง มีคนแก่ ก็มีเด็ด โดยเฉพาะผู้ชาย ชอบมากๆ บางเเฟนกีฬาประเภทบอลบ้าคลั่งมาก แพ้เเข่งขันร้องให้ ได้รับเเข่งขันก็ร้องให้ ฉันดูเเข่งขันฟุตบอลไม่เป็น จึงไม่เข้าใจเเฟนกีฬาประเภทบอลร้องให้ทำไม ถ้าร้องให้เพราะว่าเเพ้เเข่งขันฉันเข้าใจไ็ด้ เเต่ทำไมได้รับเเข่งขันก็ร้องให้ด้วย เพราะว่าดีใจรจนร้องให้หรือ บ้าคลั่งเกินไป เเต่สนุกมาก น่าเสียดายฉันดูเเข่งขันฟุตบอลไม่เป็น

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เวลาที่การทำงานเเละพักผ่อนของคนไทยไม่เหมือนกับคนจีน

เวลาที่การทำงานเเละพักผ่อนของคนไทยไม่ค่อยเหมือนกับคนจีน ฉันมาประเทศไทยจะ๒ปีแล้ว ฉันรู้สึกว่าความเเตกต่างใหญ่ทีสุดของเวลาที่การทำงานเเละพักผ่อนระหว่างประเทศจีนกับประเทศไทยคือเวลาพักผ่อนที่กลางวันไม่เหมือนกัน อยู่ประเทศไทย เวลาพักผ่อนที่กลางวันของคนไทยมี่เเต่๑ชั้วโมง ไปกินข้าวเสร็จจะใช้เวลาพักผ่อนหมด อยู่ประเทศจีนไม่เหมือนกัน เวลาพักผ่อนที่กลางวันของประเทศจีนอย่างน้อยมี๒ชั่วโมงครึ่ง ตั้งเเต่๑๒โมงถึงบ่ายสองโมงครึ่ง เเม้กระทั่ง๓ชั่วโมง เเต่น้อยมาก โดยทั่วไปก็คือ๒ชั่วโมงครึ่ง และคนจีนหลังกินข้าวแล้วชอบนอนการนอนพักหลังเที่ยง อยู่ประเทศไทยไม่เคยเจอใครนอนการนอนพักหลังเที่ยง คนไทยหลังกินข้าวแล้วไปเข้างามเข้าเรียนต่อไปหรืออื่นๆ ไม่มีใครนอนการนอนพักหลังเที่ยง อยู่ประเทศจีนคนส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาพักผ่อนที่กลางวันไปนอนการนอนพักหลังเที่ยง เมื่อฉันพึ่งมาถึงประเทศไทย นอนการนอนพักหลังเที่ยงไม่ได้ ทั้งตอนบ่ายฉันก็รู้สึกว้าเหนื่อยมาก ง่วงมาก ไม่มีกำลังวังชาเรียน เพราะว่าเมื่อฉันอยู่ประเทศจีนเเทบจะทุกวันก็นอนการนอนพักหลังเที่ยง เเต่ตอนนี้อยู่ประเทศไทยจะ๒ปีแล้ว เวลาที่การทำงานเเละพักผ่อนจะเหมือนคนไทยแล้ว ไม่นอนการนอนพักหลังเที่ยงก็มีกำลังวังชาเข้าเรียนต่อไปใด้

คนส่วนใหญ่สนใจน้ำหนักของตัวเองมาก

มีเครื่องจักรกลทีชั่งน้ำำำหนัก๑เครื่องอยู่ไต้หอพักของฉัน เหมือนเครื่องจักรกลที่ชั่งน้ำหนักอื่นๆ ขอเเต่คุณโยนเหรียญบาท๑บาทเข้าไปก็ได้ชั่งน้ำหนัก และเมื่อคุณโยนเหรียญบาทเข้าไป เครื่องจักรลที่ชั่งน้ำหนักจะร้องเพลง ร้องเพลงสั้นๆ เเต่เสียงดังมาก แม้ว่าฉันอาศัยอยู่ชั้น๒ แต่ก็ได้ยินเสียงเพลงถ่านทอดจากเครื่องจักรกลที่ชั่งน้ำหนัก ทุกๆวันก็มีคนไปชั่งน้ำหนักเเละมีคนมากมาย เพราะว่าฉันได้ยินเสียงเพลงบ่อยๆ ดูท่าคนส่วนใหญ่ก็สนใจน้ำหนักของตัวเอง โดยเฉพาะผู้หญิง ผู้หญิงทุกๆคนก็กลัวอ้วน เพระว่าอ้วนจะทำใด้สุขภาพไม่เเข็งเเรงเเละรูปร่างไม่ดี ฉันก็ชอบชั้งน้ำหนักมาก ประมาณอาทิตย์ละ๑ครั้ง

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันหนึ่งที่เหนือยมาก

วันนี้คือวันเสาร์ คือปลายสัปดาห์ ปลายสัปดา์ห์ที่แต่ก่อนก็คือวันที่เราพักผ่อนหรือเล่นสนุกๆ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ตอนนี้เรียนปริญญาโทอยู่ ต้องการเข้าเรียนใช้เวลาที่วันเสาร์และวันอาทิตย์ จึงปลายสัปดาห์ที่ตอนนี้และ๒ปี่ที่ต่อมาคงก็พักผ่อนและไปเล่นสนุกๆไม่ได้ คิดถึงปลายสัปดาห์ที่แต่ก่อนมากๆ ตอนนี้ปลายสัปดาห์ทุกสัปดาห์ก็ต้องการตื่นแต่เช้าตรู่ แม้ว่า๘โมงครึ่งค่อยเริ่มต้นเข้าเรียน แต่จากหอพักของฉันไปโรงเรียนไกลมาก ต้องใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง จึงฉันต้องการตื่นนอน๖โมงครึ่ง แล้ว๗โมง๑๕นาทีต้องออกจากบ้านไปโรงเรียน เข้าเรียนเหนื่อยมาก โดยเฉพาะวันเสาร์ ต้องเข้าเรียนจาก๘โมงครึ่งถึงหกโมงเย็นครึ่ง หลังเริ่กเรียนแล้ว ยังต้องการนั่งรถใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งกลับบ้าน เหนื่อยมากๆ คิดถึงปลายสัปดาห์แต่ก่อนจริงๆ

ทำอาหารเอง

วันนี้ คิดแล้วคิดอีก ในที่สุดตกลงต้มบะหมี่ แต่ฉันทำอาหารไม่เป็น ได้แต่ทำตามใจ ต่อจากนี้ไปก็คือวีธีการและขั้นตอนของฉันต้มบะหมี่ ฉันต้าน้ำก่อน หลังน้ำร้อนแล้วค่อยใส่ผักกาดขาวเข้าไปหม้อ ใส่น้ำมันด้วย แล้วรอเวลาประมาณสิบนาที รอหลังผักกาดขาวสุกแล้วใส่บะหมี่ ผงชูรสและเกลือด้วย สุดท้ายใส่ไข่เข้าไป รอไข่สุดก็กินได้แล้ว หลังทำเสร็ดแล้ว ชิมรสชาติสักหน่อย รสชาติพอใช้ได้ แต่เค็มเกินไป สุดท้ายได้แต่เติมน้ำกินด้วย ถ้าไม่เติมน้ำคงกินไม่ลง หวังครั้งหน้าทำไ้ด้ดีกว่าอร่อยก่วา

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อาหารไทยกับอาหารจีน

วันนี้อยากกินอาหารจีน อยากกินมากๆ เพราะว่ากินอาหารจีนไม่ใด้นานมากแล้ว คิดถึงรสชาติอาหารจีนมาก รสชาติอาหารจีนไม่เหมืินอาหารไทย รสชาติของอาหารไทยทั้งเผ็ดทั้งหวาน เมื่อฉันผึ่งมาถึงประเทศไทย ฉันกินอาหารไทยไม่ได้ รู้สึกรสชาติของอาหารไทยน่าเบื่อ แต่ตอนนี้อยู่ประเทศไทยจะ๒ปีแล้ว ไม่เพียงแต่กินอาหารไทยได้และชอบกินมาก ถ้าวันหลังกลับประเทศจีนแล้ว จะคิดถึงอาหารไทยแน่ๆ ไม่ว่าอาหารไทยหรืออาหารจีนก็คืออาหารที่ฉันชอบมาก แต่ตอนนี้ทำอาหารไทยยังไม่เป็นและมีหลายเดือนกินอาหารจีนไม่ได้แล้ว จึงวันนี้จะทำเอง ทำอะไรดีก่วา ยังคิดอยู่......

ฉันชอบฝนตก

คืนนี้ฝนตกแลว้ หนักมาก ฉันรู้สึกสบายใจมากมาย ไม่เพียงแต่ฉันคนเดียว ฉันรู้สึกว่าทุกๆคนก็สบายใจมาก เพราะว่าหลายๆวันไม่ได้ฝนตกแล้ว ร้อนจริงๆ ฝนติดต่อตก๒หรือ๓ชั่วโมงอุณหภูมิของอากาศลดต่ำแล้ว ฉันคิดว่าคืนนี้จะนอนได้สบายมากๆ ตั้งแต่ฉันมาประเทศไทย ก็ชอบฝนตกมาก ยากฝนตกทุกวันน เพราะว่าอากาศของกรุงเทพฯไม่เหมือนประเทศจีน อากาศของกรุวเทพฯร้อนก่วาประเทศจีน ร้อนมาก จึงฉันชอบฝนตกมาก

ทำสีผม

วันนี้ร้อนมาก ร้อนก่วาเมื่อวานนี้ มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อเหมือยรู้สึกว่าสีผมของเธอไม่ค่อยสวยแล้ว คืนนี้เธออยากไปทำสีผม อยากทำให้สีผมสวยเหมือนแต่ก่อน แล้วฉันก็อยู่หรือติดตามเป็นเพื่อนเธอไปด้วยกัน ทำสี่ผมใช้เวลานานมาก ประมาณต้องการใช้เวลา๒ชั่วโมง หลัง๒ชั่วโมงผ่านไปแล้ว ในที่สุดทำสีผมเสร็จแล้ว สีผมจากสีเหลืองเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล สวยเหมือนแต่ก่อน แม้กระทั่งแต่ก่อน เพื่อนรู้สึกพอใจมาก อยู่ระหว่างทางที่กลับบ้านเพื่อนหัวเราะได้ดีใจมาก

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บล็อกใหม่ของฉัน

วันนี้ อากาศร้อนมาก จึงฉันที่ไหนก็ไม่อยากไป อยู่หอพักก่อตั้งขึ้นบล็อกใหม่ของฉัน บล็อกนี้ไม่เหมือนบล็อกแต่ก่อนของฉัน บล็อกนี้คือบล็อกแรกของฉันที่ใช้ภาษาไทยเขียนบทความ ทั้งบล็อกแต่ก่อนของฉันก็คือใช้ภาษาจีนเขียนบทความ จึงบล็อกนี้ต่างกันบล็อกแต่ก่อนของฉัน ทำไมตอนนี้ต้องการใช้ภาษาไทยมาเขียนบทความในบล็อก เพราะอาจารย์พิเศษว่า ใช้ภาษาไทยเขียนบทความจะทำให้ภาษาไทยของพวกเราก้าวหนา้ขึ้น จึงเราต้องการเขียนบทความบ่อยๆที่ใช้ภาษาไทย