ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย ที่สามก็คือความแตกต่างด้านรูปแบบการสอนที่ที่โรงเรียนใช้ รูปแบบการสอนเป็นรูปแบบวิธีที่ครูใช้ในการกระบวนการการสอน รูปแบบการสอนเป็นปัจจัยสำคัญมากที่สามที่ส่งผลกระทบผู้เรียนไปเรียน รูปแบบการสอนดีหรืเลวก็จะส่งผลกระทบตรงๆผลรับที่ด้านการเรียนของเยาวชนด้วย
โรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศจีนให้ความสนใจลักษณะที่รับมือการสอบด้านการสอน การสอนหลุดพ้นความต้องการของสังคมพัฒนา จุดหมายการสอนปฏิบัติตามรับมือการสอบเรียนต่อที่โรงเรียนชั้นสูง ประเมินค่าคุณภาพของการสอน ตรวจผลการสอนและระดับการเรียนของเยาวชนตามอัตราที่อาจเป็นไปได้ที่เรียนต่อที่โรงเรียนชั้นสูงและคะแนนการสอบสูงหรือต่ำ เช่นการสอนด้านภาษาอังกฤษ การสอนที่โรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศจีนด้วยรูปแบบการสอนพุ่งไปยังการสอบ การสอนที่โรงเรียนให้ความสนใจอัตราที่อาจเป็นไปได้ที่เรียนต่อที่โรงเรียนชั้นสูงและคะแนนการสอบแค่นี้ การใช้สอยน้อยมาก ก่อให้เกิดเยาวชนจีนส่วนใหญ่สอบได้ แต่เชื่อมสัมพันธ์ด้วยภาษาอังกฤษกับสังคมภายนอกไม่ค่อยได้
โรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศไทยให้ความสนใจลักษณะที่ประโยชน์ในการใช้สอยของการสอน การสอนตามความต้องการของสังคมพัฒนา แล้วการสอนไม่ใช่เพื่อรับมือการสอบแค่นี้ โรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศไทยประเมินค่าคุณภาพของการสอน ตรวจผลการสอนและระดับการเรียนของเยาวชนไม่เพียงแต่ตามอัตราที่อาจเป็นไปได้ที่เรียนต่อที่โรงเรียนชั้นสูงและคะแนนการสอบสูงหรือต่ำ รายการที่ตรวจยังรวมด้านความรู้ใช้สอย เช่น การสอนด้านภาษาอังกฤษ โรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศไทยให้ความสนใจลักษณะที่ประโยชน์ในการใช้สอยของการสอน ไม่ใช่รับมือการสอบแค่นี้ ทั้งเลียกร้องเยาวชนไทยต้องการสอบได้และเชื่อมสัมพันธ์ใช้ภาษาอังกฤษกับสังคมภายนอกได้ด้วย จึงเยาวชนไทยส่วนใหญ่ทั้งสอบได้และเชื่อมสัมพันธ์ใช้ภาษาอังกฤษกับสังคมภายนอกได้ด้วย
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย----ที่สอง
ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย ที่สองก็คือความแตกต่างด้านความจุดหมายการเรียน๒ประเทส ความจุดหมายการเรียนหมายความว่าการเรียนเพื่ออะไร ความจุดหมายการเรียนเป็นทิศทางที่ผู้เรียนพยายามเรียน ความจุดหมายการเรียนเป็นปัจจัยสำคัญมากอีกหนึ่งที่ส่งผลกระทบด้านการเรียนของผู้เรียน ความจุดหมายการเรียนชัดแจ้งและแน่นอนหรือเปล่าจะส่งผลกระทบตรงๆผลรับที่ด้านการเรียนของเยาวชน
เยาวชนจีนส่วนใหญ่ก็มีความจุดหมายการเรียนเป็นของตัวเอง ความจุดหมายการเรียนทั้งมีความจุดหมายเล็กๆและมีความจุดหมายใหญ่ ทั้งมีความจุดหมายระยะใกล้ๆและมีความจุดหมายระยะไกล ความจุดหมายการเรียนเล็กๆและระยะใกล้ๆ เช่น ทอ่งคำศัพท์๓๐คำทุ่กวัน เดือนนี้จะทบทวนความรู้ที่เคยเรียนในเทอมนี้๑ครั้งหรือการสอบปลายเทอมตอ้งสอบได้ที่หนึ่งเป็นต้น ความจุดหมายใหญ่และระยะไกล เช่น บางคนเรียนเพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น บางคนเรียนเพื่อรับใช้เพื่อตอบแทนบุญคุณประเทศ บางคนเรียนเพื่อวันหลังจะคลายเป็นนักประดิษฐ์ ประดิษฐ์สิ่งของดีๆได้อุทิศมนุษยชาติและสังคม สรุปแล้ว ไม่ว่าความจุดหมายเล็กๆหรือความจุดหมายใหญ่ ความจุดหมายระยะใกล้ๆหรือความจุดหมายระยะไกล เยาวชนจีนส่วนใหญ่ก็มีความจุดหมายการเรียนเป็นของตัวเอง พวกเขาจะสร้างความจุดหมายการเรียนของตัวเองก่อน หลังมีความจุดหมายการเรียนอันชัดแจ้งและแน่นอนจะพยายามเรียนไปยังความจุดหมายการเรียนที่สร้างตัวเอง
แต่เยาวชนไทยส่วนใหญ่ไม่มีความจุดหมายการเรียนเป็นของตัวเอง พวกเขาก็ไม่รู้ทำไมต้องไปเรียน เรียนเพื่ออะไร เพียงแต่เรียนตามมหาชนอย่างหลับหูหลับตา เหมือนเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง
เยาวชนจีนส่วนใหญ่ก็มีความจุดหมายการเรียนเป็นของตัวเอง ความจุดหมายการเรียนทั้งมีความจุดหมายเล็กๆและมีความจุดหมายใหญ่ ทั้งมีความจุดหมายระยะใกล้ๆและมีความจุดหมายระยะไกล ความจุดหมายการเรียนเล็กๆและระยะใกล้ๆ เช่น ทอ่งคำศัพท์๓๐คำทุ่กวัน เดือนนี้จะทบทวนความรู้ที่เคยเรียนในเทอมนี้๑ครั้งหรือการสอบปลายเทอมตอ้งสอบได้ที่หนึ่งเป็นต้น ความจุดหมายใหญ่และระยะไกล เช่น บางคนเรียนเพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น บางคนเรียนเพื่อรับใช้เพื่อตอบแทนบุญคุณประเทศ บางคนเรียนเพื่อวันหลังจะคลายเป็นนักประดิษฐ์ ประดิษฐ์สิ่งของดีๆได้อุทิศมนุษยชาติและสังคม สรุปแล้ว ไม่ว่าความจุดหมายเล็กๆหรือความจุดหมายใหญ่ ความจุดหมายระยะใกล้ๆหรือความจุดหมายระยะไกล เยาวชนจีนส่วนใหญ่ก็มีความจุดหมายการเรียนเป็นของตัวเอง พวกเขาจะสร้างความจุดหมายการเรียนของตัวเองก่อน หลังมีความจุดหมายการเรียนอันชัดแจ้งและแน่นอนจะพยายามเรียนไปยังความจุดหมายการเรียนที่สร้างตัวเอง
แต่เยาวชนไทยส่วนใหญ่ไม่มีความจุดหมายการเรียนเป็นของตัวเอง พวกเขาก็ไม่รู้ทำไมต้องไปเรียน เรียนเพื่ออะไร เพียงแต่เรียนตามมหาชนอย่างหลับหูหลับตา เหมือนเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง
ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย----ที่หนึ่ง
ฉันมีเพื่อนหลายคนเป็นครูสอนภาษาจีนที่ประเทศไทย เพื่อนเหล่านี้ทุกท่านก็พูดว่าเยาวชนจีนกับเยาวชนไทยมีความแตกต่างด้านการเรียน
ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย สรุปได้ว่ามี๓ด้าน ที่หนึ่งคือความแตกต่างด้านท่าทีการเรียน
ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย ที่หนึ่งก็คือความแตกต่างด้านท่าทีการเรียนของเยาวชน๒ประเทส งั้นท่าทีการเรียนคืออะไร ท่าทีการเรียนหมายความว่าท่าทีที่ผู้เรียนปฏิบัติต่อแสดงต่อด้านการเรียนและท่าทีที่กระบวนการการเรียน ท่าทีการเรียนเป็นปัจจัยสำคัญมากที่ส่งผลกระทบด้านการเรียนของผู้เรียน ท่าทีการเรียนดีหรือเลวจะส่งผลกระทบตรงๆผลรับที่ด้านการเรียนของเยาวชน
ท่าทีการเรียนของเยาวชนจีนส่วนใหญ่เป็นกระตือรือร้น เชิงรุกและอย่างจริงจัง เช่น เวลาที่ห้องบรรยายขณะที่ใช้บรรยายอยู่ ไม่ว่าความรู้ที่ครูจะสอนให้เป็นความรู้อันเยาวชนสนใจเหรือเปล่า หรือว่าครูจะสอนได้สนุกสนานหรือเปล่า เยาวชนจีนส่วนใหญ่ก็จะไปฟังไปเรียนและบันทึกที่บันทึกในขณะที่ฟังคำบรรยายอย่างตั้งใจ จริงจิง เวลาที่เลิกเรียนแล้ว เยาวชนจีนส่วนใหญ่ไปทำการบ้าน ทบทวนความรู้ที่เคยเรียนและ เตรียมการเรียนล่วงหน้าความรู้ที่จะเรียนอย่างรู้สึกตัวและจริงจัง ไม่ต้องการใครๆมาควบคุมและเร่งรัด เวลาที่พบประสบความยากลำบาทเมื่อเรียนอยู่ เยาวชนจีนส่วนใหญ่พิชิตความยากลำบากอย่างริเริ่มกระทำเอง แก้ไขปัญหาจนสำเร็จ
แต่ท่าทีการเรียนของเยาวชนไทยส่วนใหญ่เป็นผ่ายถูกกระทำ หมดอาลัยตายอยากและสะเพร่า ตรงกันข้ามกับเยาวชนจีน เช่นเวลาที่ห้องบรรยายขณะที่ใช้บรรยายอยู่ ถ้าหากความรู้ที่ครูจะสอนให้เป็นความรู้อันเยาวชนไม่สนใจหรือว่าครูสอนได้ไม่สนุกสนาน เยาวชนไทยส่วนใหญ่ก็จะอยู่เฉยๆฟังเฉยๆ แม้กระทั่งยังมีเยาวชนส่วนน้อยคุยกันเสียงดังอยู่ในห้องเรียน เวลาที่เลิกเรียนแล้ว เยาวชนไทยส่วนใหญ่ต้องการมีคนไปควบคุมและเร่งรัดค่อยไปทำการบ้าน ทบทวนความรู้ที่เคยเรียนและ เตรียมการเรียนล่วงหน้าความรู้ที่จะเรียน ถ้าไม่มีคนไปควบคุมและเร่งรัด เยาวชนไทยส่วนใหญ่จะไปเรียนอย่างรู้สึกตัวและจริงจังไม่ได้ เวลาที่พบประสบความยากลำบาทเมื่อเรียนอยู่ เยาวชนไทยส่วนใหญ่จะด้วยท่าทีหลบหนีหรือไม่พอใจ ไม่ได้ไปพิชิตความยากลำบากและค้นหาวิทีการที่แก้ไขปัญหาอย่างริเริ่มกระทำเอง
ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย สรุปได้ว่ามี๓ด้าน ที่หนึ่งคือความแตกต่างด้านท่าทีการเรียน
ความแตกต่างด้านการเรียนของเยาวชนจีนกับเยาวชนไทย ที่หนึ่งก็คือความแตกต่างด้านท่าทีการเรียนของเยาวชน๒ประเทส งั้นท่าทีการเรียนคืออะไร ท่าทีการเรียนหมายความว่าท่าทีที่ผู้เรียนปฏิบัติต่อแสดงต่อด้านการเรียนและท่าทีที่กระบวนการการเรียน ท่าทีการเรียนเป็นปัจจัยสำคัญมากที่ส่งผลกระทบด้านการเรียนของผู้เรียน ท่าทีการเรียนดีหรือเลวจะส่งผลกระทบตรงๆผลรับที่ด้านการเรียนของเยาวชน
ท่าทีการเรียนของเยาวชนจีนส่วนใหญ่เป็นกระตือรือร้น เชิงรุกและอย่างจริงจัง เช่น เวลาที่ห้องบรรยายขณะที่ใช้บรรยายอยู่ ไม่ว่าความรู้ที่ครูจะสอนให้เป็นความรู้อันเยาวชนสนใจเหรือเปล่า หรือว่าครูจะสอนได้สนุกสนานหรือเปล่า เยาวชนจีนส่วนใหญ่ก็จะไปฟังไปเรียนและบันทึกที่บันทึกในขณะที่ฟังคำบรรยายอย่างตั้งใจ จริงจิง เวลาที่เลิกเรียนแล้ว เยาวชนจีนส่วนใหญ่ไปทำการบ้าน ทบทวนความรู้ที่เคยเรียนและ เตรียมการเรียนล่วงหน้าความรู้ที่จะเรียนอย่างรู้สึกตัวและจริงจัง ไม่ต้องการใครๆมาควบคุมและเร่งรัด เวลาที่พบประสบความยากลำบาทเมื่อเรียนอยู่ เยาวชนจีนส่วนใหญ่พิชิตความยากลำบากอย่างริเริ่มกระทำเอง แก้ไขปัญหาจนสำเร็จ
แต่ท่าทีการเรียนของเยาวชนไทยส่วนใหญ่เป็นผ่ายถูกกระทำ หมดอาลัยตายอยากและสะเพร่า ตรงกันข้ามกับเยาวชนจีน เช่นเวลาที่ห้องบรรยายขณะที่ใช้บรรยายอยู่ ถ้าหากความรู้ที่ครูจะสอนให้เป็นความรู้อันเยาวชนไม่สนใจหรือว่าครูสอนได้ไม่สนุกสนาน เยาวชนไทยส่วนใหญ่ก็จะอยู่เฉยๆฟังเฉยๆ แม้กระทั่งยังมีเยาวชนส่วนน้อยคุยกันเสียงดังอยู่ในห้องเรียน เวลาที่เลิกเรียนแล้ว เยาวชนไทยส่วนใหญ่ต้องการมีคนไปควบคุมและเร่งรัดค่อยไปทำการบ้าน ทบทวนความรู้ที่เคยเรียนและ เตรียมการเรียนล่วงหน้าความรู้ที่จะเรียน ถ้าไม่มีคนไปควบคุมและเร่งรัด เยาวชนไทยส่วนใหญ่จะไปเรียนอย่างรู้สึกตัวและจริงจังไม่ได้ เวลาที่พบประสบความยากลำบาทเมื่อเรียนอยู่ เยาวชนไทยส่วนใหญ่จะด้วยท่าทีหลบหนีหรือไม่พอใจ ไม่ได้ไปพิชิตความยากลำบากและค้นหาวิทีการที่แก้ไขปัญหาอย่างริเริ่มกระทำเอง
การเรียนมีความสำคัญมากมายต่อมนุษย์ โดยเฉพาะเยาวชน
การเรียนมีความสำคัญมากมายต่อมนุษย์ เพราะว่าการเรียรจะทำให้มนุษย์ได้ประสบความรู้หลากหลายชนิด เช่นความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ธรราชาติ ชีววิทยา วิชาเคมี และภาษาฯลฯ ไม่ว่าความรู้ด้านไหน ทั้งหมดก็มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นกับชีวิดความเป็นอยู่ของมนุษย์ มนุษย์ได้ประสบความรู้แล้ว จะได้พลิกแพลงใช้ความรู้ไปพัฒนาสติปัญญา ปลูกฝังความสามารถและทำให้มนุษย์ก้าวหน้าขึ้น ได้ไปสร้างทรัพยากรหรือได้ไปทำเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตัวเอง ครอบครัว ประเทศและสังคมเป็นต้น การเรียนมีความสำคัญมากมายต่อมนุษย์ ชีวิดความเป็นอยู่ของมนุษย์ขาดการเรียนไม่ได้ ถ้าหากไม่ไปเรียน ก็จะไม่ได้ประสบความรู้ใหม่ ขาดความรู้จะมีความหมายที่แสดงว่าความเขลา ความยากจน ทั้งจะพัฒนาสติปัญญา ปลูกฝังความสามารถและทำให้มนุษย์ก้าวหน้าขึ้นไม่ได้ และจะสร้างทรัพยากรหรือได้ไปทำเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตัวเอง ครอบครัว ประเทศและสังคมเป็นต้นไม่ได้ จึงการเรียนมีความสำคัญมากมายต่อมนุษย์ โดยเฉพาะเยาวชน เพราะว่ายุกเยาวชนเป็นยุคทองที่มนุษย์เรียนความรู้และได้ประสบความรู้
เรื่องนี้ส้มสีม่วงมีอิทธิพลต่อฉัน
อ่านเรื่องนี้ส้มสีม่วงจบแล้วมีอิทธิพลต่อฉัน ก็คือ
๑.เรื่องนี้ทำให้ฉันตระหนักในคุณค่าของจินตนาการความฝัน
เรื่องนี้ทำให้ฉันตระหนักในคุณค่าของจินตนาการความฝันว่า หากไม่มีจินตนาการและความฝันแล้ว ชีวิตมนุษย์จะแห้งแล้งหยาบกระด้าง ไม่มีสี ไม่มีจุดหมาย ไม่มีอารมณ์และไม่มีสุขเพียงใด ความฝันเป็นปัจใจสำคัญในการสร้างโลก สร้างชีวิด ดังนั้นหากเราทิ้งความฝัน ไร้ความฝันหรือฝันไม่ได้อีกแล้ว ก็นับว่าเป็นหายนะแห่งโลกและมนุษย์ชาติโดยแท้ทีเดียว หากชีวิดไม่มีจิตนาการ โลกไม่มีความฝัน เหลือแต่ความจริงที่แห้งแล้งแข็งกระด้าง โลกจะไม่มีความสุข ความสำเร็จของมนุษย์เกิดขึ้นจากมนุษย์มีความฝันและใช้สติปัญญาเปลี่ยนความฝันกลายเป็นความจริง
๒.เตือนฉันควรขจัดนิสัยแย่ๆทิ้งไป
นิสัยแย่ๆเช่นขี้เกียจ ช่างมันเถอะ อย่าเสี่ยง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ผัดวันประกันพรุ่ง หงุดหงิด งุ่นง่าน เสียดสี แดกดัน ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ เยาะหยัน ถากถาง โกหกพกลม เกลียดผักเป็นต้น เตือนฉันอ้อมนิสัยแย่ๆ ควรขจัดนิสัยแย่ๆทิ้งไป เพราะว่านิสัยแย่ๆเช่นโกหกพกลมจะก่อให้เกิดไม่มีใครๆจะเชื่อคุณต่อไป เช่นผัดวันประกันพรุ่งจะก่อให้เกิดอะไรก็ไม่ได้ไปทำและอะไรก็ทำไม่เสร็จ เพราะว่าเรื่องวันนี้ผัดวันประกันพรุ่งไปทำ แล้วพรุ่งนี้จะผันประกันมะรืนวันไปทำ สุดท้ายอะไรก็ไม่ได้ไปทำและอะไรก็ทำไม่เสร็จ
๓.ทำให้ฉันรู้ว่าวรรณกรรมดีๆจะช่วยให้จินตนาการและความฝันเกิดได้
วรรณกรรมดีๆจะช่วยให้จินตนาการและความฝันเกิดได้ เปิดความสว่างทางสติปัญญาจินตนาการและความฝันเรา โดยเฉพาะวรรณกรรมเด็กๆและเยาวชน ไม่เพียงแต่เด็กๆ พวกผู้ใหญ่ก็ต้องอ่านวรรณกรรมดีๆมากขึ้น เพราะว่าเมื่อจากเด็กๆเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิตมากขึ้น จินตนาการและความฝันก็ลดน้อยถอยลงไป ทำไห้ชีวิดแห้งแล้งแข็งกระด้าง จึงก็ต้องอ่านวรรณกรรมดีๆมากขึ้น เพราะว่าวรรณกรรมดีๆจะช่วยให้จินตนาการและความฝันเกิดได้
๔.ทำให้ฉันรู้ว่าพวกผู้ใหญ่ไม่ควรไปจำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆ
เด็กๆมีความฝันและจินตนาการมหาศาล และมันเป็นความฝันและจินตนาการไม่มีขอบเขต พวกผู้ใหญ่ไม่ควรไปจำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆ จำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆตามอย่างผู้ใหญ่จำกัด มิฉะนั้น เด็กๆจะไม่กล้าคิดกล้าฝันหรือว่าจะฝันและจินตนาการในกรอบ แผ่ออกไปกว้างไกลไม่ใด้ จึงพวกผู้ใหญ่ไม่ควรไปจำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆ ให้เด็กๆกล้าคิดกล้าฝัน มีความฝันมาหาศาลอันไม่มีกรอบและจินตนาการไม่มีขอบเขต จะฝันและจินตนาการแผ่ออกไปกว้างไกล
๑.เรื่องนี้ทำให้ฉันตระหนักในคุณค่าของจินตนาการความฝัน
เรื่องนี้ทำให้ฉันตระหนักในคุณค่าของจินตนาการความฝันว่า หากไม่มีจินตนาการและความฝันแล้ว ชีวิตมนุษย์จะแห้งแล้งหยาบกระด้าง ไม่มีสี ไม่มีจุดหมาย ไม่มีอารมณ์และไม่มีสุขเพียงใด ความฝันเป็นปัจใจสำคัญในการสร้างโลก สร้างชีวิด ดังนั้นหากเราทิ้งความฝัน ไร้ความฝันหรือฝันไม่ได้อีกแล้ว ก็นับว่าเป็นหายนะแห่งโลกและมนุษย์ชาติโดยแท้ทีเดียว หากชีวิดไม่มีจิตนาการ โลกไม่มีความฝัน เหลือแต่ความจริงที่แห้งแล้งแข็งกระด้าง โลกจะไม่มีความสุข ความสำเร็จของมนุษย์เกิดขึ้นจากมนุษย์มีความฝันและใช้สติปัญญาเปลี่ยนความฝันกลายเป็นความจริง
๒.เตือนฉันควรขจัดนิสัยแย่ๆทิ้งไป
นิสัยแย่ๆเช่นขี้เกียจ ช่างมันเถอะ อย่าเสี่ยง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ผัดวันประกันพรุ่ง หงุดหงิด งุ่นง่าน เสียดสี แดกดัน ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ เยาะหยัน ถากถาง โกหกพกลม เกลียดผักเป็นต้น เตือนฉันอ้อมนิสัยแย่ๆ ควรขจัดนิสัยแย่ๆทิ้งไป เพราะว่านิสัยแย่ๆเช่นโกหกพกลมจะก่อให้เกิดไม่มีใครๆจะเชื่อคุณต่อไป เช่นผัดวันประกันพรุ่งจะก่อให้เกิดอะไรก็ไม่ได้ไปทำและอะไรก็ทำไม่เสร็จ เพราะว่าเรื่องวันนี้ผัดวันประกันพรุ่งไปทำ แล้วพรุ่งนี้จะผันประกันมะรืนวันไปทำ สุดท้ายอะไรก็ไม่ได้ไปทำและอะไรก็ทำไม่เสร็จ
๓.ทำให้ฉันรู้ว่าวรรณกรรมดีๆจะช่วยให้จินตนาการและความฝันเกิดได้
วรรณกรรมดีๆจะช่วยให้จินตนาการและความฝันเกิดได้ เปิดความสว่างทางสติปัญญาจินตนาการและความฝันเรา โดยเฉพาะวรรณกรรมเด็กๆและเยาวชน ไม่เพียงแต่เด็กๆ พวกผู้ใหญ่ก็ต้องอ่านวรรณกรรมดีๆมากขึ้น เพราะว่าเมื่อจากเด็กๆเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิตมากขึ้น จินตนาการและความฝันก็ลดน้อยถอยลงไป ทำไห้ชีวิดแห้งแล้งแข็งกระด้าง จึงก็ต้องอ่านวรรณกรรมดีๆมากขึ้น เพราะว่าวรรณกรรมดีๆจะช่วยให้จินตนาการและความฝันเกิดได้
๔.ทำให้ฉันรู้ว่าพวกผู้ใหญ่ไม่ควรไปจำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆ
เด็กๆมีความฝันและจินตนาการมหาศาล และมันเป็นความฝันและจินตนาการไม่มีขอบเขต พวกผู้ใหญ่ไม่ควรไปจำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆ จำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆตามอย่างผู้ใหญ่จำกัด มิฉะนั้น เด็กๆจะไม่กล้าคิดกล้าฝันหรือว่าจะฝันและจินตนาการในกรอบ แผ่ออกไปกว้างไกลไม่ใด้ จึงพวกผู้ใหญ่ไม่ควรไปจำกัดจินตนาการและความฝันของเด็กๆ ให้เด็กๆกล้าคิดกล้าฝัน มีความฝันมาหาศาลอันไม่มีกรอบและจินตนาการไม่มีขอบเขต จะฝันและจินตนาการแผ่ออกไปกว้างไกล
ความคิดสำคัญของเรื่องนี้ส้มสีม่วง
ความคิดสำคัญเรื่องนี้ส้มสีม่วงก็คือจินตนาการไม่ควรมีขอบเขตจำกัด ขอบเขตและกรอบเป็นสิ่งที่ขัดขวางจินตนาการของเราไม่ให้แผ่ออกไปกว้างไกล หากเราลองปลดเปลื้องขอบเขตและกรอบเหล่านี้ออกไป กล้าคิด กล้าฝัน กล้าแตกต่าง เราก็จะมีจินตนาการที่กว้างไกลมากยิ่งขึ้น คิดอะไรก็ได้มากมายกว่าเคย ลึกซึ้งกว่าเคย
ส้มสีม่วง
ฉันใช้เวลาประมาณ๓อาทิตย์ไปอ่านนวนิยายชื่อส้มสีม่วง ฉันชอบเรื่องนี้มากมาย เพราะเรื่องนี้มีคุณค่าสั่งสอน จึงฉันอยากจะแนะนำเรื่องนี้ให้ผู้เชียวชาณ ฉันมั่นใจถ้าพวกคุณอ่านแล้วก็ชอบเรื่องนี้มากดังต่อไปนี้คือย่อเรื่องส้มสีม่วงที่แต่งโดยฉัน
เรื่องเริ่มจากจ้อยเป็นเด็กชายอายุยังไม่เต็ม๑๐ขวบดี อยู่ป.๔และกำลังจะขึ้นเทอม๒ในเปิดเทอมหน้านี้แล้ว จ้อยชอบอ่านหนังสือที่แต่งโดยลุงเทิดมากมาย ลุงเทิดเป็นคนที่เขียนหนังสือแสนสนุกที่จ้อยติดใจนักหนา ที่นักเขียนคนโปรดของจ้อย ปิดเทอมนี้จ้อยจะใช้เวลาหมดไปอ่านหนังสือที่แต่งโดยลุงเทิดชื่อ “กองทัพปราบฝัน” และการย้ายบ้านใหม่ ย้ายไปถึงบ้านใหม่ จ้อยรู้ว่าเพื่อนบ้านคนใหม่ของเขาไม่ใช่ใครอื่นๆเลยแต่เป็นตัวลุงเทิดนั่นเองจากพี้สาว จ้อยตื่นเต้นมาก
ในวันหนึ่งจ้อยเดินสำรวจสนามหญ้าของบ้านใหม่ ได้เก็บเศษกระดาษทั้ง๑๒ชิ้น เรียงต่อเข้าด้วยกันเป็นแผ่นใหญ่ อ่านแล้วและคิดว่าเศษกระดาษทั้ง๑๒ชิ้นเป็นต้นฉบับหนังสือของลุงเทิด จ้อยรู้ว่าต้นฉบับหนังสือมีความสำคัญต่อลุงเทิด จึงตัดสินใจที่จะนำต้นฉบับนี้ไปส่งคืนลุงเทิด
เมื่อได้เอาต้นฉบับส่งคืนลุงเทิด จ้อยดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะใกล้ถึงกำหนดเวลาส่งคืนต้นฉบับแล้ว นอกจากนี้ลุงเทิดยังเล่าให้จ้อยฟังอีกว่าเขาถูกกลั่นแกล้งต่างๆนานารวมถึงการที่ต้นฉบับหายไปในครั้งนี้ด้วย นี่ทั้งหมดเป็นฝีมือของนักทัพปราบฝันที่ไม่ต้องการให้ลุงเทิดเขียนหนังสือเรื่องใหม่เปิดโปงอาณาจักรลึกลับของพวกเขาและไม่ให้ลุงเทิดเขียนหนังสือที่ทำให้เด็กๆมีความฝัน มีความคิด มีจินตนาการ เพราะเหล่ากองทัพปราบฝันจะไปปลอกลอกเอาความฝันของเด็กๆทำให้เด็กๆเลิกคิด เลิกฝัน เมื่อเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้จินตนาการอยู่แต่ในกรอบที่สร้างขึ้นมา ไร้ความคิดสร้างสรรค์ ทึบทื่อ น่าเบื่อหน่าย การคิดนอกกรอบเสียบ้างจะทำให้เราค้นพบสิ่งใหม่ๆมากขึ้น ไม่เหยียบย่ำจำเจอยู่กับสิ่งเดิมๆ จนกลายเป็นการปิดกั้นตนเอง จิตใจแข็งกระด้าง และไม่ก่อให้เกิดพัฒนาการทางความคิด
เหล่ากองทัพปราบฝันในหนังสือของลุงเทิดมีตัวตนอยู่จริง เป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆประกอบไปด้วย
- นายพล "ขี้เกียจคิด ขี้เกียจฝัน " ซึ่งทั่วร่างปกคลุมไปด้วยขนที่เกิดจากความขี้เกียจนั่นเอง ความร้ายกาจของเขาก็คือ ความขี้เกียจที่เขาชอบปล่อยฤทธิ์ร้ายให้แพ่ซ่านอยู่ในเนื้อตัวผู้คนจนไม่อยากจะคิดฝันถึงสิ่งใด
- นายช่างใหญ่ "ช่างมันเถอะ " มีรูปร่างเป็นมันฝรั่งสวมใส่ชุดช่าง ในมือถือไขควงตลอดเวลา ช่างมันเถอะชอบทำไขควงตก แต่ไม่เก็บ มักเอาแต่พูดว่า "ช่างมันเถอะ" และ "ไม่เป็นไร"
- ผู้อาวุโส "อย่าเสี่ยง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง " เป็นรูปสี่เหลี่ยมทึบตัน ไม่ยอมขยับไปไหนเพราะกลัวการเสี่ยง กลัวการเปลี่ยนแปลงทุกชนิด
- "ผัดวันประกันพรุ่ง" มีรูปร่างเป็นทรงกลม เพื่อพร้อมที่จะกลิ้งไปสู่วันพรุ่งนี้ ในมือถือตะหลิวตลอดเวลา เพื่อเตือนว่าคำว่า "ผัดวันประกันพรุ่ง " สะกดว่า "ผัด " ไม่ใช่ "ผลัด "
นอกจากนี้เหล่ากองทัพปราบฝันยังประกอบไปด้วย "หงุดหงิด งุ่นง่าน " "เสียดสี แดกดัน " " ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ " " เยาะหยัน ถากถาง " "โกหกพกลม " "เกลียดผัก " "ไม่มีทางเลือก" ฯลฯ
เหล่ากองทัพปราบฝันจะปอกลอกเอาฝันของคนอื่นๆ เพราะว่ายิ่งปราบฝันได้มากเท่าไร อาณาจักรของเหล่ากองทัพปราบฝันก็จะยืดยาวออกไปมากขึ้น พุ่งทะยานออกไปอย่างสง่างาม และเป็นบ้านเกิดเมืองนอน แดนดินถิ่นอาศัยให้พวกเขาเพาะลูกออกหลานได้มากขึ้น หล่ากองทัพปราบฝันอยู่ได้เพราะปอกลอกเอาฝันของคนอื่นๆมาต่อเติมอาณาจักรของพวกเขา เหลือทิ้งไว้ให้คนเหล่านั้นเพียงความจริงเล็กๆน้อยๆ นิดๆหน่อยๆ หนำซ้ำยังเป็นความจริงที่แห้ง แข็งกระด้าง และกลิ่นไม่ดี "แก้ม " เป็นเพื่อนใหม่ของจ้อยที่เป็นแฟนหนังสือของลุงเทิดเช่นกัน เป็นเด็กหญิงตัวเท่ากับจ้อยนี่เอง เคยเจอกันอยู่ในร้านหนังสือ จ้อยตัดสินใจร่วมมือกับ "แก้ม "ป้องกันไม่ให้เหล่ากองทัพปราบฝันมาขัดขวางการเขียนหนังสือของลุงเทิดได้
จ้อยรู้ว่าอาณาจักรของเหล่ากองทัพปราบฝันคือ "อาณาจักรก้านส้มเขียวหวาน " จากเบิกความสว่างทางสติปัญญาที่ส้มหลากหลาย
จนในที่สุดจ้อยและแก้มก็ได้เผชิญหน้ากับเหล่ากองทัพปราบฝัน จ้อยได้ทำข้อตกลงกับเหล่ากองทัพปราบฝันโดยกองทัพปราบฝันจะต้องเลิกขัดขวางการเขียนหนังสือของลุงเทิดเพื่อแลกกับการที่จ้อยจะไม่เปิดเผยความจริงที่ว่า อาณาจักรของเหล่ากองทัพปราบฝัน คือ "อาณาจักรก้านส้มเขียวหวาน " เหล่ากองทัพปราบฝันกลัวว่าถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปทุกคนจะรู้ว่าแท้จริงแล้วโลกไม่ได้กลมและป่องตรงกลางเหมือนผลส้มเท่านั้น แต่ยังมีก้านส้มซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกเขาอีกด้วย จึงยอมรับข้อเสนอดังกล่าว ทำให้ลุงเทิดสามารถเขียนหนังสือที่กระตุ้นให้เด็กๆเกิดความคิด เกิดจินตนาการต่อไปได้ ลุงเทิด จ้อยและแก้ม จึงผนึกกำลังร่วมกันต่อสู้กับกองทัพปราบฝันจนเอาชนะได้ในที่สุด
เรื่องเริ่มจากจ้อยเป็นเด็กชายอายุยังไม่เต็ม๑๐ขวบดี อยู่ป.๔และกำลังจะขึ้นเทอม๒ในเปิดเทอมหน้านี้แล้ว จ้อยชอบอ่านหนังสือที่แต่งโดยลุงเทิดมากมาย ลุงเทิดเป็นคนที่เขียนหนังสือแสนสนุกที่จ้อยติดใจนักหนา ที่นักเขียนคนโปรดของจ้อย ปิดเทอมนี้จ้อยจะใช้เวลาหมดไปอ่านหนังสือที่แต่งโดยลุงเทิดชื่อ “กองทัพปราบฝัน” และการย้ายบ้านใหม่ ย้ายไปถึงบ้านใหม่ จ้อยรู้ว่าเพื่อนบ้านคนใหม่ของเขาไม่ใช่ใครอื่นๆเลยแต่เป็นตัวลุงเทิดนั่นเองจากพี้สาว จ้อยตื่นเต้นมาก
ในวันหนึ่งจ้อยเดินสำรวจสนามหญ้าของบ้านใหม่ ได้เก็บเศษกระดาษทั้ง๑๒ชิ้น เรียงต่อเข้าด้วยกันเป็นแผ่นใหญ่ อ่านแล้วและคิดว่าเศษกระดาษทั้ง๑๒ชิ้นเป็นต้นฉบับหนังสือของลุงเทิด จ้อยรู้ว่าต้นฉบับหนังสือมีความสำคัญต่อลุงเทิด จึงตัดสินใจที่จะนำต้นฉบับนี้ไปส่งคืนลุงเทิด
เมื่อได้เอาต้นฉบับส่งคืนลุงเทิด จ้อยดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะใกล้ถึงกำหนดเวลาส่งคืนต้นฉบับแล้ว นอกจากนี้ลุงเทิดยังเล่าให้จ้อยฟังอีกว่าเขาถูกกลั่นแกล้งต่างๆนานารวมถึงการที่ต้นฉบับหายไปในครั้งนี้ด้วย นี่ทั้งหมดเป็นฝีมือของนักทัพปราบฝันที่ไม่ต้องการให้ลุงเทิดเขียนหนังสือเรื่องใหม่เปิดโปงอาณาจักรลึกลับของพวกเขาและไม่ให้ลุงเทิดเขียนหนังสือที่ทำให้เด็กๆมีความฝัน มีความคิด มีจินตนาการ เพราะเหล่ากองทัพปราบฝันจะไปปลอกลอกเอาความฝันของเด็กๆทำให้เด็กๆเลิกคิด เลิกฝัน เมื่อเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้จินตนาการอยู่แต่ในกรอบที่สร้างขึ้นมา ไร้ความคิดสร้างสรรค์ ทึบทื่อ น่าเบื่อหน่าย การคิดนอกกรอบเสียบ้างจะทำให้เราค้นพบสิ่งใหม่ๆมากขึ้น ไม่เหยียบย่ำจำเจอยู่กับสิ่งเดิมๆ จนกลายเป็นการปิดกั้นตนเอง จิตใจแข็งกระด้าง และไม่ก่อให้เกิดพัฒนาการทางความคิด
เหล่ากองทัพปราบฝันในหนังสือของลุงเทิดมีตัวตนอยู่จริง เป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆประกอบไปด้วย
- นายพล "ขี้เกียจคิด ขี้เกียจฝัน " ซึ่งทั่วร่างปกคลุมไปด้วยขนที่เกิดจากความขี้เกียจนั่นเอง ความร้ายกาจของเขาก็คือ ความขี้เกียจที่เขาชอบปล่อยฤทธิ์ร้ายให้แพ่ซ่านอยู่ในเนื้อตัวผู้คนจนไม่อยากจะคิดฝันถึงสิ่งใด
- นายช่างใหญ่ "ช่างมันเถอะ " มีรูปร่างเป็นมันฝรั่งสวมใส่ชุดช่าง ในมือถือไขควงตลอดเวลา ช่างมันเถอะชอบทำไขควงตก แต่ไม่เก็บ มักเอาแต่พูดว่า "ช่างมันเถอะ" และ "ไม่เป็นไร"
- ผู้อาวุโส "อย่าเสี่ยง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง " เป็นรูปสี่เหลี่ยมทึบตัน ไม่ยอมขยับไปไหนเพราะกลัวการเสี่ยง กลัวการเปลี่ยนแปลงทุกชนิด
- "ผัดวันประกันพรุ่ง" มีรูปร่างเป็นทรงกลม เพื่อพร้อมที่จะกลิ้งไปสู่วันพรุ่งนี้ ในมือถือตะหลิวตลอดเวลา เพื่อเตือนว่าคำว่า "ผัดวันประกันพรุ่ง " สะกดว่า "ผัด " ไม่ใช่ "ผลัด "
นอกจากนี้เหล่ากองทัพปราบฝันยังประกอบไปด้วย "หงุดหงิด งุ่นง่าน " "เสียดสี แดกดัน " " ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ " " เยาะหยัน ถากถาง " "โกหกพกลม " "เกลียดผัก " "ไม่มีทางเลือก" ฯลฯ
เหล่ากองทัพปราบฝันจะปอกลอกเอาฝันของคนอื่นๆ เพราะว่ายิ่งปราบฝันได้มากเท่าไร อาณาจักรของเหล่ากองทัพปราบฝันก็จะยืดยาวออกไปมากขึ้น พุ่งทะยานออกไปอย่างสง่างาม และเป็นบ้านเกิดเมืองนอน แดนดินถิ่นอาศัยให้พวกเขาเพาะลูกออกหลานได้มากขึ้น หล่ากองทัพปราบฝันอยู่ได้เพราะปอกลอกเอาฝันของคนอื่นๆมาต่อเติมอาณาจักรของพวกเขา เหลือทิ้งไว้ให้คนเหล่านั้นเพียงความจริงเล็กๆน้อยๆ นิดๆหน่อยๆ หนำซ้ำยังเป็นความจริงที่แห้ง แข็งกระด้าง และกลิ่นไม่ดี "แก้ม " เป็นเพื่อนใหม่ของจ้อยที่เป็นแฟนหนังสือของลุงเทิดเช่นกัน เป็นเด็กหญิงตัวเท่ากับจ้อยนี่เอง เคยเจอกันอยู่ในร้านหนังสือ จ้อยตัดสินใจร่วมมือกับ "แก้ม "ป้องกันไม่ให้เหล่ากองทัพปราบฝันมาขัดขวางการเขียนหนังสือของลุงเทิดได้
จ้อยรู้ว่าอาณาจักรของเหล่ากองทัพปราบฝันคือ "อาณาจักรก้านส้มเขียวหวาน " จากเบิกความสว่างทางสติปัญญาที่ส้มหลากหลาย
จนในที่สุดจ้อยและแก้มก็ได้เผชิญหน้ากับเหล่ากองทัพปราบฝัน จ้อยได้ทำข้อตกลงกับเหล่ากองทัพปราบฝันโดยกองทัพปราบฝันจะต้องเลิกขัดขวางการเขียนหนังสือของลุงเทิดเพื่อแลกกับการที่จ้อยจะไม่เปิดเผยความจริงที่ว่า อาณาจักรของเหล่ากองทัพปราบฝัน คือ "อาณาจักรก้านส้มเขียวหวาน " เหล่ากองทัพปราบฝันกลัวว่าถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปทุกคนจะรู้ว่าแท้จริงแล้วโลกไม่ได้กลมและป่องตรงกลางเหมือนผลส้มเท่านั้น แต่ยังมีก้านส้มซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกเขาอีกด้วย จึงยอมรับข้อเสนอดังกล่าว ทำให้ลุงเทิดสามารถเขียนหนังสือที่กระตุ้นให้เด็กๆเกิดความคิด เกิดจินตนาการต่อไปได้ ลุงเทิด จ้อยและแก้ม จึงผนึกกำลังร่วมกันต่อสู้กับกองทัพปราบฝันจนเอาชนะได้ในที่สุด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)